แหล่งเรียนรู้ที่1 การติดต่อสื่อสารทางอินเตอร์เน็ต

การติดต่อสื่่อสารทางอินเทอร์เน็ต
1.ความหมายของอินเทอร์เน็ต
  อินเทอร์เน็ต (Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาด ใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย
หลายๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (Protocol) ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลายๆ ทาง อาทิเช่น อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบค้นข้อมูลและข่าวสารต่างๆ รวมทั้งคัดลอกแฟ้มข้อมูลและโปรแกรมมาใช้ได้

2.ประวัติความเป็นมาของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
 
อินเตอร์เน็ตกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณปี ค.ศ.1969 หรือประมาณปี พ.ศ. 2512 โดยพัฒนามาจาก อาร์พาเน็ต (ARPAnet) ซึ่งเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายใต้ความรับผิดชอบของหน่วยงานโครงการวิจัยขั้นสูง (Advanced Research Projects Agency) หรือเรียกชื่อย่อว่า อาร์พา (ARPA) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาจุดประสงค์ของโครงการอาร์พาเน็ต เพื่อสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่คงความสามารถในการติดต่อสื่อสารถึงกันได้

ในปี 2512 ได้มีการปรับปรุงหน่วยงานอาร์พาและเรียกชื่อใหม่ว่า ดาร์พา (DARPA : Defense Research Project Agency )

ในปี 2518 ดาร์พาได้โอนหน้าที่ดูแลรับผิดชอบอาร์พาเน็ตโดยตรงให้แก่ หน่วยสื่อสารของกองทัพ (Defense Communications Agency) หรือ DCA เนื่องจากอาร์พาเน็ตได้แปรสภาพจากเครือข่ายที่ปฏิบัติงานได้อย่างแท้จริงแล้ว 
 
ในปี 2526 อาร์พาเน็ตแบ่งออกเป็น 2 เครือข่าย คือ

- เครือข่ายด้านการวิจัยใช้ชื่อ อาร์พาเน็ตเหมือนเดิม

- เครือข่ายของกองทัพใช้ชื่อว่า "มิลเน็ต" (MILNET : MILitary NETwork) ซึ่งใช้การเชื่อมต่อโดยใช้โปรโตคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol / Internet Protocol ) เป็นครั้งแรก ในปี 2528

พอมีถึงปี 2533 อาร์พาเน็ตรองรับเป็น backbone ไม่ไหวจึงยุติบทบาท และเปลี่ยนไปใช้ NFSNET และเครือข่ายอื่นแทน และได้มีการเชื่อมเครือข่ายต่างๆ ทำให้เครือข่ายมีขนาดใหญ่มากขึ้นจนเป็นเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันนี้

3.พื้นฐานการทำงานของระบบอินเทอร์เน็ต
คอมพิวเตอร์สามารถติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันได้ พูดคุยกันรู้เรื่องนั่นเอง ซึ่งเราเรียกว่าภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ว่า โปรโตคอล (Protocol)

คอมพิวเตอร์ในระบบอินเตอร์เน็ตนั้น จะมีภาษาสากลใช้สื่อสารกันโดยเฉพาะ เรียกว่า Protocol ซึ่งเราเรียก Protocol เฉพาะนี้ว่า TCP/IP โดยย่อมาจากคำว่า Transmission Control Protocol (TCP) Internet Protocol (IP) นั่นเอง
 
4.ระบบโดเมน (Domain Name System)


  จะแบ่งออกเป็นระดับชั้น โดยอาจจะเป็น 2 ระดับ หรือ 3 ระดับ ก็ได้ โดยแต่ละระดับจะถูกคั่นด้วยเครื่องหมายจุด เช่น



ส่วนแรก     จะหมายถึงชื่อองค์กร
ส่วนที่สอง   จะเป็นส่วนขยายบอกประเภทขององค์กร เช่น เป็น  องค์กรของเอกชน หรือองค์กรของรัฐบาล
ส่วนที่สาม   จะเป็นส่วนขยายบอกประเทศที่เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นตั้งอยู่
 
ตัวอย่าง โดเมนที่ได้รับความนิยมกันทั่วโลก

.com ย่อมาจาก commercial สำหรับธุรกิจ 

.edu ย่อมาจาก education สำหรับการศึกษา

.int ย่อมาจาก International Organization สำหรับองค์กรนานาชาติ 

.org ย่อมาจาก Organization สำหรับหน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร 

.net ย่อมาจาก Network สำหรับหน่วยงานที่มีเครือข่ายของ

 ตนเองและทำธุรกิจด้านเครือข่าย

.gov ย่อมาจาก Governmental สำหรับหน่วยงานองกรค์ของรัฐ

.mil ย่อมาจาก Military สำหรับองค์กรทหาร
 
ตัวอย่าง โดเมนเนมหน่วยงานของไทย

 .ac.th  ย่อมาจาก Academic Thailand สำหรับสถานศึกษาในประเทศไทย 

 .co.th  ย่อมาจาก Company Thailand สำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจในประเทศไทย 

 .go.th  ย่อมาจาก Government Thailand สำหรับหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล 

 .net.th ย่อมาจาก Network Thailand สำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเครือข่าย 

 .or.th   ย่อมาจาก Organization Thailand สำหรับหน่วยงานที่ไม่แสวงหากำไร 

 .in.th    ย่อมาจาก Individual Thailand สำหรับของบุคคลทั่วๆ ไป
5.บริการต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ต
 
อีเมลล์ (E-mail) หรือเรียกอีกอย่างว่า

  “จดหมายอิเล็กทรอนิกส์” (Electronic Mail) เป็นบริการอย่างหนึ่งเป็นเครือข่าย  อินเทอร์เน็ต สำหรับรับส่งจดหมายผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถส่ง  จดหมายไปยังผู้ใช้ที่อยู่ห่างไกลได้อย่างรวดเร็ว สามารถรับส่งข้อมูได้หลากหลาย  ทั้งรูปแบบที่เป็นข้อความ รูปภาพ หรือไฟล์ข้อมูลอีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการ  ส่งจดหมายได้มาก เว็บไซต์ที่ให้บริการ  e-mail ฟรี ได้แก่
  
6.การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
   DSL เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาเพื่อให้การขนส่งข้อมูลผ่านทางสายโทรศัพท์มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีความเร็วในการขนส่งข้อมูลเพิ่มมากขึ้น และรับรองข้อมูลได้หลายรูปแบบ ประเภทที่นิยมมากที่สุดคือ ADSL 

 
ISDN

เป็นเทคโนโลยีที่รวมเอาบริการต่างๆที่ใช้ในระบบโทรศัพท์ เข้าไว้ด้วยกัน โดยใช้การส่งสัญญาณแบบดิจิตอล ซึ่งกำหนดมาตารฐานขึ้นโดย ITU-T เพื่ออใช้ในการบริการด้านขนส่งข้อมูลและระบบโทรศัพท์แบบดิจิตอล โดยสามารถรองรับข้อมูลเสียง ภาพและวีดีโอ ผ่านทางสายโทรศัพท์ISDN เป็นเทคโนโยยีที่รวมบริการด้านดิจิตอลไว้ด้วยกันเพื่อให้ขอบเขตความสามารถของโทรศัพท์เพิ่มมากขึ้น
Leased Line

สายเช่า หรือ สายคู่เช่า  ใช้คู่สายทั้งหมดสองคู่สำหรับขนส่งข้อมูลพร้อมกัน (Full-Duplex) สายเช่าเป็นระบบการส่งข้อมูลในแบบ Cir Cuit Switching  คือส่งสัญญาณไปบนเส้นที่จองไว้ โดยผู้ใช้มีสิทธิ์ใช้ช่องสัญญาณนั้นเท่านั้น สามารถขอใช้ได้บริการได้ที่องค์การโทรศัพท์หรือผู้ให้บริการรายอื่น

7.การใช้บริการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตด้วยจดหมายอิเล็กทรอนิกส์
ทำความรู้จักกับ อีเมล์ (E-mail) และวิธีการใช้งานในเบื้องต้น 
อีเมล์ (E-mail) หรือ Electronics Mail หรือ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นเครื่องมือสำหรับติดต่อสื่อสารระหว่างกันประเภทหนึ่งคล้ายกับการส่ง จดหมายผ่านทางไปรษณีย์ แต่อีเมล์นี้เป็นบริการที่สามารถทำการส่งข้อความ ไฟล์เอกสารของคอมพิวเตอร์ หรือรูปภาพต่างๆ ไปยังผู้รับปลายทาง (ที่ใช้บริการอีเมล์) ได้ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จึงทำให้เพิ่มความสะดวกสบายได้มากขึ้น


ประเภทของอีเมล์ที่ให้บริการฟรี
เว็บไซต์ที่ให้บริการอีเมล์ที่ให้บริการฟรีมีอยู่มากมาย แต่ถ้าจะแยกประเภทของการใช้งาน สามารถแยกออกได้เป็น 2 แบบดังนี้

1. Web Base Mail เช่น อีเมล์ของ hotmail.com, yahoo.com, chaiyo.com หรือ email.in.th หากต้องการใช้งานอีเมล์เหล่านี้ จะต้องใช้งานโดยผ่านทางหน้าเว็บเพจเท่านั้น ข้อดีคือ สามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเปิดอ่านอีเมล์นั้นก็ได้ โดยไม่ต้องทำการตั้งค่าต่างๆ ในเครื่องให้ยุ่งยาก และไม่จำเป็นต้องใช้โปรแกรมในการอ่านหรือรับส่งอีเมล์โดยเฉพาะอีกด้วย เพราะสามารถใช้โปรแกรมเบราเซอร์ที่มีอยู่ได้เลย ทำให้ไม่เปลืองพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์ในการติดตั้งโปรแกรมเพิ่มเติม แต่ข้อเสียของ Web Base Mail คืออาจจะช้าและเสียเวลานานในการอ่านหรือรับส่งอีเมล์ได้ถ้าความเร็วของอิน เทอร์เน็ตไม่มากพอ

2. POP Mail เช่น yahoo.com ซึ่งเป็นผู้ให้บริการอีเมล์ ที่มีบริการการอ่านอีเมล์แบบ POP Mail ด้วย ในกรณีที่เลือกใช้งานอีเมล์ที่เป็นแบบ POP Mail ผู้ใช้จะต้องทำการติดตั้งโปรแกรมสำหรับรับ-ส่งอีเมล์ลงไปที่เครื่อง คอมพิวเตอร์ด้วย เช่น โปรแกรม Microsoft Outlook เพื่อใช้สำหรับจัดการกับอีเมล์ แต่ต้องทำการตั้งค่าต่างๆ ของโปรแกรมที่ใช้รับ-ส่งอีเมล์ก่อนจึงจะใช้งานได้ แต่การใช้ POP Mail จะสะดวกกว่าการใช้งานแบบ Web Base Mail ในกรณีที่ต้องการอ่านอีเมล์ของเก่า เพราะเมื่อทำการเปิดโปรแกรมสำหรับการอ่านอีเมล์แล้ว โปรแกรมจะทำการดาวน์โหลดอีเมล์ทั้งหมดมาเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ของเครื่อง คอมพิวเตอร์ก่อน ทำให้เราสามารถอ่านอีเมล์ได้แม้ว่าจะไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแล้วก็ตาม

คำศัพท์ต่าง ๆ ที่ใช้ในระบบการ รับ-ส่ง อีเมล์
คำศัพท์แบบมาตรฐานทั่วๆ ไป ที่นิยมใช้ในการใช้งานอีเมล์ มีดังนี้

- Inbox หมายถึงกล่องหรือที่สำหรับเก็บอีเมล์ ที่มีผู้ส่งเข้ามา
- Outbox หมายถึงกล่องหรือที่เก็บอีเมล์ ที่กำลังจะส่งออกไปหาผู้อื่น
- Sent Items หมายถึงกล่องหรือที่เก็บอีเมล์ ที่เราได้เคยส่งออกไปหาผู้อื่นแล้ว
- Delete Items หมายถึงกล่องหรือที่เก็บอีเมล์ ที่ได้ทำการลบทิ้งจาก Inbox แต่ยังเก็บสำรองไว้อยู่
- Drafts หมายถึงกล่องหรือที่เก็บอีเมล์ สำหรับใช้เก็บอีเมล์ต่างๆ ชั่วคราว ซึ่งอาจจะมีหรือไม่ มีก็ได้
- Compose / New Mail เป็นการส่งอีเมล์ใหม่ไปหาผู้อื่น
- Forward เป็นการส่งต่ออีเมล์ที่ได้รับมานั้นไปหาผู้อื่น
- Reply เป็นการตอบกลับอีเมล์ที่มีผู้ส่งมาถึงเรา
- Reply All เป็นการตอบกลับอีเมล์ที่มีผู้ส่งมาถึงเราโดยจะตอบกลับไปยังทุกคนที่มีชื่ออยู่ใน อีเมล์ฉบับนั้น
- Subject หมายถึงหัวข้อของอีเมล์ที่เราจะเขียนหรือส่งออกไป
- To หมายถึง ชื่อหรืออีเมล์ของผู้ที่เราต้องการส่งอีเมล์ไปหา
- CC หมายถึงการส่ง copy อีเมล์นั้นๆ ไปให้ผู้อื่นที่ต้องการด้วย
- BCC หมายถึงการส่ง copy อีเมล์นั้นๆ ไปให้ผู้อื่นที่ต้องการ และไม่ให้ผู้รับคนอื่นมองเห็น ว่ามีการส่งไปให้ในช่อง BCC ด้วย
- Attach หมายถึงการแนบไฟล์เอกสาร หรือโปรแกรมต่าง ๆ ไปกับอีเมล์ฉบับนั้น
- Address Book หมายถึงสมุดรายชื่อของอีเมล์ ที่เราสามารถเก็บไว้ เพื่อให้นำมาใช้งานได้ง่ายขึ้น

วิธีการสมัครใช้อีเมล์ของ Hotmail
ก่อนการใช้งานอีเมล์ไม่ว่าจะเป็นของผู้ให้บริการใดก็ตาม ผู้ใช้จะต้องทำการสมัครสมาชิกเพื่อขอเข้าใช้บริการก่อน ซึ่งในการสมัครสมาชิกควรมีการอ่านรายละเอียดต่างๆ ของเว็บไซต์ผู้ให้บริการให้ดีก่อนว่า สนับสนุนบริการอะไร และสามารถใช้งานในลักษณะใดได้บ้าง เช่น ใช้บริการได้แต่เฉพาะ Web Base Mail หรือใช้งาน POP3 Mail ได้ เป็นต้น และนอกจากนี้ควรที่จะอ่านเงื่อนไขของการให้บริการให้เข้าใจก่อนด้วยซึ่งขั้น ตอนการสมัครใช้อีเมล์ของ Hotmail มีดังนี้

1. เข้าเว็บไซด์ www.hotmail.com จากนั้นคลิกที่ปุ่ม “ลงทะเบียน”

2. กรอกชื่อบัญชีที่ต้องการ ลงในช่อง Windows Live ID

3. จากนั้นคลิกปุ่ม “ตรวจสอบการใช้งาน” เพื่อตรวจสอบดูว่ามีใครใช้ชื่อบัญชีนั้นๆ ไปหรือยัง

4. ในกรณีที่ ID ที่ระบุมีผู้ใช้อยู่แล้ว จะปรากฏหน้าจอดังภาพด้านล่าง จะต้องทำการระบุ ID ใหม่ โดยขณะที่กรอก ID ทางเว็บไซต์จะแสดง ID ที่ใช้ได้มาให้อัตโนมัติ สามารถเลือกใช้ได้ทันที

5. กรอกข้อมูลส่วนที่เหลือให้ครบถ้วน จากนั้นคลิกปุ่ม “ฉันยอมรับ”

6. เมื่อสมัครเสร็จแล้ว ระบบจะเข้าสู่กล่องจดหมาย (Mail)

7. ในส่วน “กล่องขาเข้า(1)” เป็นส่วนที่ระบบจะแจ้งว่าคุณมีข้อความที่ยังไม่ได้เปิดอ่าน 1 ฉบับ

การเข้าใช้อีเมล์ของ Hotmail
1. เข้าเว็บไซด์ www.hotmail.com จากนั้นคลิกที่ ลงทะเบียน “ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชีอื่น”
2. กรอก ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ที่สมัครไว้ จากนั้นคลิกปุ่ม “ลงชื่อเข้าใช้”
3. หลังจากนั้นจะสามารถเข้ากล่องจดหมาย (Mail) ได้ทันที

การส่งอีเมล์ของ Hotmail
1. เมื่อลงชื่อเข้าใช้เพื่อเข้าสู่ระบบแล้ว คลิกที่ “สร้าง”

2. กรอกรายละเอียดของข้อมูลจดหมาย

3. ถ้าต้องการส่งไฟล์ข้อมูลไปกับอีเมล์ คลิก “แนบ”

4. เลือกไฟล์ที่ต้องการ จากนั้นคลิกปุ่ม Open

5. จะได้ไฟล์ข้อมูลที่ต้องการส่งไปพร้อมกับจดหมายแสดงให้เห็น

6. เมื่อต้องการส่ง คลิก “ส่ง”

การรับและส่งต่ออีเมล์ของ Hotmail
1. เมื่อลงชื่อเข้าใช้เพื่อเข้าสู่ระบบแล้วคลิกที่ “กล่องขาเข้า”

2. คลิกเลือกจดหมายที่ต้องการอ่านทางด้านขวา

3. จะได้ข้อความจดหมายที่ต้องการอ่าน

4. เมื่ออ่านจดหมาย แล้วต้องการตอบกลับไปยังผู้ส่ง ให้คลิก “ตอบกลับ” หรือ “ตอบกลับทั้งหมด”

5. แต่ถ้าต้องการส่งต่อไปให้ผู้รับผู้อื่นให้คลิก “ส่งต่อ”

8.การใช้บริการสื่อทางอินเทอร์เน็ตแบบเครือข่ายสังคม(Social   Network)


 เครือข่ายสังคมออนไลน์







1. ความหมายของเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network)เครือข่ายสังคมออนไลน์ หมายถึง สังคมออนไลน์ที่มีการเชื่อมโยงกันเพื่อสร้างเครือข่ายในการตอบสนองความต้อง การทางสังคมที่มุ่งเน้นในการสร้างและสะท้อนให้เห็นถึงเครือข่าย หรือความสัมพันธ์ทางสังคม ในกลุ่มคนที่มีความสนใจหรือมีกิจกรรมร่วมกัน บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์จะให้บริการผ่านหน้าเว็บ และให้มีการตอบโต้กันระหว่างผู้ใช้งานผ่านอินเทอร์เน็ต




2.ความเป็นมาของเครือข่ายสังคมออนไลน์
การเกิดขึ้นและเติบโตของเครือข่ายสังคมออนไลน์นี้มาจากการพัฒนาทางเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตจากเว็บ 1.0 (เว็บเนื้อหา) มาสู่เว็บ 2.0 (เว็บเชิงสังคม) ซึ่งจุดเด่นของเว็บ 2.0 คือ การที่ผู้ใช้สามารถสร้างเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตได้เอง โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นทีมงานหรือผู้ดูแลเว็บไซต์ ซึ่งเรียกว่า User Generate Content ข้อดีของการที่ผู้ใช้เข้ามาสร้างเนื้อหาได้เอง ทำให้มีการผลิตเนื้อหาเข้ามาเป็นจำนวนมาก และมีความหลากหลายของมุมมองความคิด เพราะจากเดิมผู้ดูแลจะเป็นคนคิดและหาเนื้อหามาลงแต่เพียงกลุ่มเดียว


ประเภทของเครือข่ายสังคมออนไลน์
เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ให้บริการตามเว็บไซต์สามารถแบ่งขอบเขตตามการใช้งาน โดยดูที่วัตถุประสงค์หลักของการเข้าใช้งาน และคุณลักษณะของเว็บไซต์ที่มีร่วมกัน กล่าวคือ วัตถุประสงค์ของการเข้าใช้งานมีเป้าหมายในการใช้งานไปในทางเดียวกันมีการ แบ่งประเภทของเครือข่ายสังคมออนไลน์ออกตามวัตถุประสงค์ของการเข้าใช้งาน ได้ 7 ประเภท




1. สร้างและประกาศตัวตน (Identity Network) เครือ ข่ายสังคมออนไลน์ประเภทนี้ใช้สำหรับให้ผู้เข้าใช้งานได้มีพื้นที่ในการสร้าง ตัวตนขึ้นมาบนเว็บไซต์ และสามารถที่จะเผยแพร่เรื่องราวของตนผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยลักษณะของ การเผยแพร่อาจจะเป็นรูปภาพ วิดีโอ การเขียนข้อความลงในบล็อก อีกทั้งยังเป็นเว็บที่เน้นการหาเพื่อนใหม่ หรือการค้นหาเพื่อนเก่าที่ขาดการติดต่อ                                                การเขียนบทความได้อย่างเสรี ซึ่งอาจจะถูกนำมาใช้ได้ใน 2 รูปแบบ ได้แก่
1.1 Blog บล็อก เป็นชื่อเรียกสั้นๆ ของ Weblog ซึ่งมาจากคำว่า “Web” รวมกับคำว่า “Log” ที่เป็นเสมือนบันทึกหรือรายละเอียดข้อมูลที่เก็บไว้ ดังนั้นบล็อกจึงเป็นโปรแกรมประยุกต์บนเว็บที่ใช้เก็บบันทึกเรื่องราว หรือเนื้อหาที่เขียนไว้โดยเจ้าของเขียนแสดงความรู้สึกนึกคิดต่างๆ โดยทั่วไปจะมีผู้ที่ทำหน้าที่หลักที่เรียกว่า “Blogger” เขียนบันทึกหรือเล่าเหตุการณ์ที่อยากให้คนอ่านได้รับรู้ หรือเป็นการเสนอมุมมองและแนวความคิดของตนเองใส่เข้าไปในบล็อกนั้น




1.2 ไมโครบล็อก (Micro Blog) เครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภทนี้มีลักษณะเด่นโดยการให้ผู้ใช้โพสต์ข้อความ
จำนวนสั้นๆ ผ่านเว็บผู้ให้บริการ และสามารถกำหนดให้ส่งข้อความนั้นๆ ไปยังโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ เช่น Twitter




2. สร้างและประกาศผลงาน (Creative Network) เครือ ข่ายสังคมออนไลน์ประเภทนี้ เป็นสังคมสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการแสดงออกและนำเสนอผลงานของตัวเอง สามารถแสดงผลงานได้จากทั่วทุกมุมโลก จึงมีเว็บไซต์ที่ให้บริการพื้นที่เสมือนเป็นแกลเลอรี่ (Gallery) ที่ใช้จัดโชว์ผลงานของตัวเองไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ รูปภาพ เพลง อีกทั้งยังมีจุดประสงค์หลักเพื่อแชร์เนื้อหาระหว่างผู้ใช้เว็บที่ใช้ฝากหรือ แบ่งปัน โดยใช้วิธีเดียวกันแบบเว็บฝากภาพ แต่เว็บนี้เน้นเฉพาะไฟล์ที่เป็นมัลติมีเดีย ซึ่งผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ประเภทนี้ ได้แก่ YouTube, Flickr, Multiply, Photobucket และ Slideshare เป็นต้น


3. ความชอบในสิ่งเดียวกัน (Passion Network) เป็น เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ทำหน้าที่เก็บในสิ่งที่ชอบไว้บนเครือข่าย เป็นการสร้าง ที่คั่นหนังสือออนไลน์ (Online Bookmarking) มีแนวคิดเพื่อให้ผู้ใช้สามารถเก็บหน้าเว็บเพจที่คั่นไว้ในเครื่องคนเดียวก็ นำมาเก็บไว้บนเว็บไซต์ได้ เพื่อที่จะได้เป็นการแบ่งปันให้กับคนที่มีความชอบในเรื่องเดียวกัน สามารถใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในการเข้าไปหาข้อมูลได้ และนอกจากนี้ยังสามารถโหวตเพื่อให้คะแนนกับที่คั่นหนังสือออนไลน์ที่ผู้ใช้ คิดว่ามีประโยชน์และเป็นที่นิยม ซึ่งผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ได้แก่ Digg, Zickr, Ning, del.icio.us, Catchh และ Reddit เป็นต้น




4. เวทีทำงานร่วมกัน (Collaboration Network) เป็น เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่ต้องการความคิด ความรู้ และการต่อยอดจากผู้ใช้ที่เป็นผู้มีความรู้ เพื่อให้ความรู้ที่ได้ออกมามีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและเกิดการพัฒนาใน ที่สุด ซึ่งหากลองมองจากแรงจูงใจที่เกิดขึ้นแล้ว คนที่เข้ามาในสังคมนี้มักจะเป็นคนที่มีความภูมิใจที่ได้เผยแพร่สิ่งที่ตนเอง รู้ และทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม เพื่อรวบรวมข้อมูลความรู้ในเรื่องต่างๆ ในลักษณะเนื้อหา ทั้งวิชาการ ภูมิศาสตร์ประวัติศาสตร์ สินค้า หรือบริการ โดยส่วนใหญ่มักเป็นนักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญ ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ในลักษณะเวทีทำงานร่วมกัน ในลักษณะเวทีทำงานร่วมกัน เช่น Wikipedia, Google earth และ Google Maps เป็นต้น




5. ประสบการณ์เสมือนจริง (Virtual Reality) เครือ ข่ายสังคมออนไลน์ประเภทนี้มีลักษณะเป็นเกมออนไลน์ (Online games) ซึ่งเป็นเว็บที่นิยมมากเพราะเป็นแหล่งรวบรวมเกมไว้มากมาย มีลักษณะเป็นวิดีโอเกมที่ผู้ใช้สามารถเล่นบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เกมออนไลน์นี้มีลักษณะเป็นเกม 3 มิติที่ผู้ใช้นำเสนอตัวตนตามบทบาทในเกม ผู้เล่นสามารถติดต่อปฏิสัมพันธ์กับผู้เล่นคนอื่นๆ ได้เสมือนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง สร้างความรู้สึกสนุกเหมือนได้มีสังคมของผู้เล่นที่ชอบในแบบเดียวกัน อีกทั้งยังมีกราฟิกที่สวยงามดึงดูดความสนใจและมีกิจกรรมต่างๆ ให้ผู้เล่นรู้สึกบันเทิง เช่น Second Life, Audition, Ragnarok, Pangya และ World of Warcraft เป็นต้น



6. เครือข่ายเพื่อการประกอบอาชีพ (Professional Network) เป็น เครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อการงาน โดยจะเป็นการนำประโยชน์จากเครือข่ายสังคมออนไลน์มาใช้ในการเผยแพร่ประวัติผล งานของตนเอง และสร้างเครือข่ายเข้ากับผู้อื่น นอกจากนี้บริษัทที่ต้องการคนมาร่วมงาน สามารถเข้ามาหาจากประวัติของผู้ใช้ที่อยู่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์นี้ได้ ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภทนี้ได้แก่ Linkedin เป็นต้น




7. เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันระหว่างผู้ใช้ (Peer to Peer : P2P) เป็น เครือข่ายสังคมออนไลน์แห่งการเชื่อมต่อกันระหว่างเครื่องผู้ใช้ด้วยกันเอง โดยตรง จึงทำให้เกิดการสื่อสารหรือแบ่งปันข้อมูลต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และตรงถึงผู้ใช้ทันที ซึ่งผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ประเภทนี้ ได้แก่ Skype และ BitTorrent เป็นต้น




  ผู้ให้และผู้ใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์

  1. กลุ่มผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network Service : SNS)

1.1   สร้างและประกาศตัวตน (Identity Network)

  • Facebook
  • Twitter
  • Bloggang

1.2   สร้างและประกาศผลงาน (Creative Network)

  • YouTube
  • Flickr

1.3   ความชอบหรือคลั่งไคล้ในสิ่งเดียวกัน (Passion Network)

  • Ning
  • Digg
  • Pantip

1.4   เวทีทำงานร่วมกัน (Collaboration Network)

  • Wikipedia
  • Google Earth

1.5   ประสบการณ์เสมือนจริง (Virtual Reality)

  • Second Life
  • World of Warcraft

1.6   เครือข่ายเพื่อการประกอบอาชีพ (Professional Network) ลิงด์อิน (LinkedIn)

1.7   เครือข่ายที่เชื่อมต่อกันระหว่างผู้ใช้ (Peer to Peer : P2P)

  • Skype
  • BitTorrent

  1. กลุ่มผู้ใช้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์

2.1   กลุ่ม Generation Z กลุ่มผู้มีอายุอยู่ระหว่าง 6-10 ปี ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ด้วยตนเองผ่านเกมออนไลน์

2.2   กลุ่ม Generation Y และ Generation D (Digital) ผู้มีอายุระหว่าง 15-30 ปี จะใช้เพื่อความบันเทิงและการติดต่อสื่อสารระหว่างกลุ่มเพื่อน

2.3   กลุ่ม Generation X ผู้มีอายุระหว่าง 30-45 ปี ใช้เป็นเครื่องมือทาง การสื่อสารการตลาด การค้นหาความรู้ การอ่านข่าวสารประจำวัน



เครือข่ายสังคมออนไลน์กับการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

  1. ด้านการสื่อสาร (Communication)
  2. ด้านการศึกษา (Education)
  3. ด้านการตลาด (Marketing)
  4. ด้านบันเทิง (Entertainment)
  5. ด้านสื่อสารการเมือง (Communication Political)



ผลกระทบของเครือข่ายสังคมออนไลน์

ผลกระทบเชิงบวก

  • เป็นสื่อในการนำเสนอผลงานของตัวเอง
  • ใช้ในการแบ่งปันข้อมูล รูปภาพ ความรู้ให้กับผู้อื่น
  • เป็นเวทีแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ
  • เป็นเครือข่ายกระชับมิตร สร้างความสัมพันธ์ที่ดีจากเพื่อนสู่เพื่อนได้
  • ช่วยในการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ
  • ช่วยในการพัฒนาชุมชน
  • เป็นสื่อในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือบริการลูกค้าสำหรับบริษัทและองค์กรต่างๆ สร้างความเชื่อมั่น สร้างความสัมพันธ์ สร้างกิจกรรม

ผลกระทบเชิงลบ

  • เป็นช่องทางที่ถูกละเมิดลิขสิทธิ์ ขโมยผลงาน หรือถูกแอบอ้างได้ง่าย
  • หากผู้ใช้หมกหมุ่นกับการเข้าร่วมเครือข่ายสังคมออนไลน์มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ
  • เป็นช่องทางที่สามารถวิพากษ์วิจารณ์กระแสสังคมในเรื่องเชิงลบ และอาจทำให้เกิดกรณีพิพาทบานปลาย
  • ภัย คุกคามจากเครือข่ายสังคมออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ เช่น การเผยแพร่ภาพและข้อความอันมีลักษณะดูหมิ่นและไม่เหมาะสมต่อสถาบันพระมหา กษัตริย์

9.การใช้บริการอินเทอร์เน็ตในการค้นคว้าหาความรู้
การสืบค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต
          1.  เว็บไซต์ (Website)  หมายถึง  ที่ตั้งเครือข่ายข้อมูลที่เชื่อมโยงติดต่อกันได้ทั่วทุกมุมโลกโดยการค้นหาข้อมูลในแต่ละเว็บไซต์จะต้องทราบชื่อเว็บไซต์ที่เราต้องการหาข้อมูลนั้น ๆ หรือสามารถค้นหา
เว็บไซต์ที่เราต้องการค้นคว้าผ่านทางเว็บไซต์ที่เปิดบริการให้ค้นคว้าหาข้อมูลต่าง ๆ เป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาไทยได้ที่ www.google.com  www.yahoo.com  www.sanook.com  เป็นต้น
                    1.1  การค้นหาข้อมูลในเว็บไซต์ตามคำหลัก  จะต้องอาศัยการประมวลข้อมูลที่ต้องการค้นหาออกมาเป็นคำหลัก  (keyword)  ให้ได้ก่อน
                    1.2  การสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ตามหมวดหมู่ที่ทางเว็บไซต์ได้แบ่งหมวดหมู่ไว้อย่างชัดเจนทำให้สะดวกมากขึ้น  โดยการจัดหมวดหมู่ของแต่ละเว็บไซต์จะแตกต่างกัน
          2.  ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์  ห้องสมุดประเภทนี้จะแตกต่างจากห้องสมุดทั่วไปเพราะสามารถใช้บริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต  การค้นหาข้อมูลสะดวก  รวดเร็ว  โดยสามารถค้นคว้าได้จากชื่อเรื่อง  หัวเรื่อง ชื่อหนังสือ  ชื่อผู้แต่ง  เลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ (ISBN)  เลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร (ISSN)  สำนักพิมพ์  ปีที่พิมพ์  เป็นต้น  ซึ่งการค้นคว้าในห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์สามารถระบุข้อมูลหรือเงื่อนไขเฉพาะได้ชัดเจน  เช่น  ต้องการทราบผลงานของสุนทรภู่  เฉพาะเกี่ยวกับนิราศก็สามารถระบุเงื่อนไขที่เกี่ยวกับชื่อผู้แต่ง  คือ  สุนทรภู่  และระบุหัวข้อเรื่อง  คือ  นิราศ  ระบบสามารถประมวลผลงานของสุนทรภู่เฉพาะเรื่องที่เป็นนิราศเท่านั้น
          3.  ฐานข้อมูลออนไลน์  ฐานข้อมูล  คือ  แหล่งจัดเก็บข้อมูลหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง  หรือหมายหัวข้อที่รวบรวมมาจากแหล่งข้อมูลหลาย ๆ แหล่ง  จำนวนข้อมูลในฐานข้อมูลมักมีมากมายนับหมื่น แสน หรือล้านรายการ
          ออนไลน์ (online)  เป็นคำทับศัพท์  หมายถึง  การเชื่อมโยงผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
          การสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูลออนไลน์ให้ได้ตรงตามความต้องการ  อาจใช้เทคนิคง่าย ๆ เข้าช่วย  ดังนี้
                    1.  ทำความเข้าใจความหมายของคำเชื่อมที่สำคัญ 3 คำ  คือ
                              "และ"                    ใช้เพื่อจำกัดขอบเขตของข้อมูลให้แคบลง
                              ตัวอย่าง  ระบุว่า  "ว.วินิจฉัยกุล"  และ  "เรื่องสั้น"  ข้อมูลที่ได้จะเน้นข้อมูลของ ว.วินิจฉัยกุล  เฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องสั้นเท่านั้น  จะไม่ปรากฎเรื่องราวด้านอื่น ๆ เลย
                              "หรือ"                    ใช้เพื่อเพิ่มขอบเขตของข้อมูลให้กว้างขึ้น
                              ตัวอย่าง  ระบุว่า  "ว.วินิจฉัยกุล"  หรือ  "ทมยันตี"  ข้อมูลที่ได้จะเน้นข้อมูลที่เกี่ยวกับ  ว.วินิจฉัยกุล  และทมยันตี  ทั้งหมดที่มีอยู่ในฐานข้อมูลนั้น
                              "ไม่"                       ใช้เพื่อลดขอบเขตของข้อมูล
                              ตัวอย่าง  ระบุว่า  "ว.วินิจฉัยกุล"  ไม่  "ประวัติ"  ข้อมูลที่ได้จะเน้นเรื่องราวของ  ว.วินิจฉัยกุลทุกด้าน  จะไม่มีเรื่องเกี่ยวกับประวัติชีวิตของ ว.วินิจฉัยกุล  เลย
                    2.  ใช้สัญลักษณ์  หากไม่ทราบวิธีสะกดคำที่ถูกต้อง
                              เครื่องหมายคำถาม ?                    ใช้แทนอักษร 1 ตัว
                              เครื่องหมายดอกจัน*                    ใช้แทนอักษรหลายตัว
                              ตัวอย่าง  ต้องการค้นเรื่องวิญญาณ  แต่ไม่แน่ใจหรือไม่ทราบว่าตัวสะกดเป็น ณ หรือ น ให้พิมพ์ "วิญญา?"
                              ต้องการค้นเรื่อง  ปัญจวัคคีย์  แต่ไม่แน่ใจตัวการันต์ให้พิมพ์  ปัญจวัคคี*
                    3.  ฐานข้อมูลอีริก (ERIC database)  ซึ่งเป็นฐานข้อมูลด้านการศึกษาให้ใช้คำว่า  NEAR  สำหรับการค้นที่รวมคำที่ใกล้เคียงกับคำที่ต้องการด้วย

10.เทคโนโลยีการค้นหาข้อมูล ความรู้ทางอินเทอร์เน็ต
เมื่อพูดถึงการสืบค้นข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต คงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร แต่ปัจจุบันข้อมูลที่ถูกจัดเก็บและเผยแพร่ผ่านเครื่อข่ายอินเตอร์เน็ตนั้นมีเพิ่มขึ้น บางเว็บไซต์สามารถใช้ในการอ้างอิงข้อมูลได้ การสืบค้นข้อมูลทางอินเตอร์จะทำการค้นหาข้อมูลในรูปแบบของ Search Engine ซึ่งมีเว็บผู้ให้บริการหลายแห่ง เช่น www.sanook.com www.yahoo.com และอีกเว็บที่นิยมกันมากในบ้านเราคือ www.google.com เป็นต้น
นอกจากนี้แล้ว Search Engine ยังมีวิธีในการค้นหาและจัดเก็บข้อมูลไว้ด้วยวิธีการต่างกันไป ดังนี้
  1. Keyword Index : การค้นหาข้อมูลรูปแบบนี้ จะมีการสำรวจเว็บเพจและอ่านข้อความ ข้อมูล รวมทั้งโครงสร้างภาษาโปรแกรม HTML ซึ่งอยู่ในTAG alt ร่วมด้วย อย่างน้อยประมาณ 200-300 ตัวอักษร วิธีการค้นหาข้อมูลแบบนี้จะเน้นการเรียงลำดับข้อมูลก่อน-หลังเป็นสำคัญ รวมถึงความถี่ในการนำเสนอข้อมูลหรือการที่เว็บเพจถูกเปิดขึ้นมา ซึ่งเป็นการค้นหาที่มีความรวดเร็วมาก แต่ความละเอียดในการจัดแยกหมวดหมู่ของข้อมูลค่อนข้างน้อยเพราะไม่ได้คำนึงถึงรายละเอียดของเนื้อหาเท่าที่ควร
  2. Subject Directories : มีการวิเคราะห์รายละเอียด เนื้อหาของแต่ละเว็บเพจ ด้วยการให้คนเป็นผู้พิจารณา การจัดแบ่งหมวดหมู่จึงขึ้นกับวิจารณญาณของคนที่ทำการจัดเก็บข้อมูล ทำให้การค้นหาค่อนข้างตรงตามความต้องการของผู้ใช้ และมีถูกต้องในการค้นหามากกว่า เช่น หากเราต้องการค้นหาข้อมูลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ Search Engine ชนิดนี้ก็จะประมวลผลรายชื่อเว็บไซต์ หรือเว็บเพจเฉพาะที่เกี่ยวกับด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมาให้
  3. Metasearch Engines : เป็นการสืบค้นแบบเชื่อมโยงไปยัง Search Engine ประเภทอื่น ทั้งยังมีความหลากหลายของข้อมูล เป็นการค้นหาที่ไม่คำนึงถึงขนาดของตัวอักษร และอาจจะมองข้ามข้อความประเภท Natural Language (ภาษาพูด)
หลักการค้นหาข้อมูลของ Search Engine
แต่ละ Search Engine จะมีลักษณะและประสิทธิภาพที่แตกต่างกันไปตามแต่ผู้ให้บริการ ลักษณะของปัจจัยที่ใช้ค้นหาโดยหลักๆจะมีดังนี้
  1. การค้นหาจากชื่อของตำแหน่ง URL ใน เว็บไซต์ต่างๆ
  2. การค้นหาจากคำที่มีอยู่ใน Title (ส่วนที่ Browser ใช้แสดงชื่อของเว็บเพจอยู่ทางด้าน ซ้ายบนของหน้าต่างที่แสดง
  3. การค้นหาจากคำสำคัญหรือคำสั่ง keyword (อยู่ใน tag คำสั่งใน html ที่มีชื่อว่า meta)
  4. การค้นหาจากส่วนที่ใช้อธิบายหรือบอกลักษณะ site
  5. การค้นหาคำในหน้าเว็บเพจด้วย Browser ซึ่งการค้นหาคำในหน้าเว็บเพจนั้นจะใช้สำหรับกรณีที่คุณเข้าไปค้นหาข้อมูลที่เว็บ เพจใด เว็บเพจหนึ่ง แล้วภายในมีข้อความปรากฏอยู่เต็มไปหมด จะนั่งไล่ดูทีละบรรทัดคงไม่สะดวก ในลักษณะนี้เราใช้ใช้ browser ช่วยค้นหาให้ ขึ้นแรกให้คุณนำ mouse ไป click ที่ menu Edit แล้วเลือกบรรทัดคำสั่ง Find in Page หรือกดปุ่ม Ctrl + F ที่ keyboard ก็ได้ จากนั้นใส่คำที่ต้องการค้นหาลงไปแล้วก็กดปุ่ม Find Next โปรแกรมก็จะวิ่งหาคำดังกล่าว หากพบมันก็จะกระโดดไปแสดงคำนั้นๆ ซึ่งคุณสามารถกดปุ่ม Find Next เพื่อค้นหาต่อได้ อีกจนกว่าคุณจะพบข้อมูลที่ต้องการ
เทคนิคที่ควรรู้ในการค้นหาข้อมูล
  1. เลือกรูปแบบการค้นหาให้ตรงกับสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุด : ถ้าต้องการจะค้นหาข้อมูลที่มีลักษณะทั่วไป ไม่ชี้ เฉพาะเจาะจง ก็ควรเลือกบริการสืบค้นข้อมูลแบบ Index อย่างของ yahoo เพราะ โอกาสที่จะเจอนั้น เปอร์เซ็นต์สูงกว่าจะมานั่งสุ่มหาโดยใช้วิธีแบบ Search Engine
  2. ใช้คำมากกว่า 1 คำที่มีลักษณะเกี่ยวข้องกัน : เพื่อจะได้ผลลัพธ์ที่แคบลง และตรงกับความต้องการมากขึ้น
  3. ใช้บริการของผู้ให้บริการเฉพาะด้าน : ควรเลือกใช้ Search Engine ที่ให้ข้อมูลเฉพาะทางที่ต้องการทราบ เช่นต้องการสืบค้นข้อมูลงานวิจัย ก็ให้เข้าเว็บที่ให้บริการค้นหาข้อมูลแหล่งงานวิจัยโดยเฉพาะ
  4. ใส่เครื่องหมายคำพูดครอบคลุมกลุ่มคำที่ต้องการ : เพื่อให้ Search Engine ทราบว่าเรา ต้องการผลการค้นหาที่มีเฉพาะคำในกลุ่มนั้น เช่น “Open Source Software” เป็นต้น
  5. การขึ้นต้นของตัวอักษรตัวเล็กเท่ากันหมด : ช่วยให้ Search Engine ค้นหาโดยไม่ต้องคำนึงว่าเป็นตัวอักษรเล็กหรือใหญ่
  6. ใช้ตัวเชื่อมทาง Logic : มี 3 ตัว คือ “AND สั่งให้หาโดยต้องมีคำนั้นๆมาแสดงด้วยเท่านั้น โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องติดกัน เช่น phonelink AND pager เป็นต้น “OR สั่งให้หาโดยจะต้องนำคำใดคำหนึ่งที่พิมพ์ลงไปมาแสดง “NOT สั่งไม่ให้เลือกคำนั้นๆมาแสดง เช่น food and cheese not butter หมายความว่า ให้ทำการหาเว็บที่เกี่ยวข้องกับ food และ cheese แต่ต้องไม่มี butter เป็นต้น
  7. ใช้เครื่องหมายบวกลบคัดเลือกคำ : “+ ใช้หน้าคำที่ต้องการจริงๆ “ ” ใช้นำหน้าคำที่ไม่ต้องการ “( ) ช่วยแยกกลุ่มคำ เช่น(pentium+computer)cpu
  8. ใช้เป็นตัวร่วม : เช่น com* เป็นการบอกให้หาคำที่มีคำว่า com ขึ้นหน้าต่อท้ายเป็นอะไรก็ได้ หรือ *com เป็นการค้นหาคำที่มีด้านหน้าเป็นอะไรก็ได้ต่อท้ายด้วยคำว่า com
  9. หลีก เลี่ยงการใช้ตัวเลข : ถ้าเลี่ยงไม่ได้ควรใส่เครื่องหมายคำพูด “” เช่น “drupal 7″ เป็นต้น
  10.  หลีก เลี่ยงภาษาพูด
  11. Help และ Site map ช่วยคุณได้ : หากต้องการคำอธิบายหรือ option หรือการใช้งาน หรือแผนผังปีกย่อยของเว็บไซต์
การค้นหาข้อมูลแบบ Index Directory
วิธีนี้ข้อมูลจะถูกคัดแยกเป็นหมวดหมู่ สามารถเลือกเปิดเข้าไปดูเฉพาะในหมวดที่ต้องการ ซึ่งเมื่อ Click เข้าไปจะพบข้อมูลเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องมากน้อยขึ้นอยู่กับที่จัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลระบบ และสามารถเปิดดูผ่านWeb Browser ได้ นอกจากนี้ผู้ให้บริการในรูปแบบ Index Directory ยังนิยมเรียงลำดับข้อมูลโดยนำ site ที่มีความเกี่ยวข้องกับหมวดข้อมูลมากที่สุดไว้ด้านบนเพื่อความสะดวกและง่ายต่อการตัดสินใจเปิดดูของผู้สืบค้น
การค้นหาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตนั้น ถือเป็นบริการที่จำเป็นและมีผู้นิยมมากในปัจจุบัน ทั้งนี้การใช้งานคงขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้บริโภคข้อมูลข่าวสารว่าต้องการวิธีการสืบค้นหาข้อมูลลักษณะใด หากต้องการข้อมูลเชิงกว้างและมีอิสระในการค้นหาก็ต้องเข้าเว็บไซต์ยอดฮิตอย่าง google หรือหาต้องการข้อมูลลักษณะ Index Directory ที่มีการจัดหมวดหมูไว้แล้วก็ใช้บริการของ yahoo เป็นต้น
11.ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ตถือได้ว่าเป็นบริการสาธารณะและมีผู้ใช้จำนวนมาก เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ผู้ที่เข้ามาใช้ควรมีกฏกติกาที่ปฏิบัติร่วมกัน เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการใช้งานที่ผิดวิธี ในทีนี้ขอแยกเป็น 2 ประเด็น คือ

1. มารยาทของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในฐานะบุคคลที่เข้าไปใช้บริการต่างๆ ที่มีอยู่ในอินเทอร์เน็ต แบ่งออกเป็น 4 ด้าน คือ
ด้านการติดต่อสื่อสารกับเครือข่าย ประกอบด้วย
  • ในการเชื่อมต่อเข้าสู่เครือข่ายควรใช้ชื่อบัญชี (Internet Account Name) และรหัสผ่าน (Password) ของตนเอง ไม่ควรนำของผู้อื่นมาใช้ รวมทั้งนำไปกรอกแบบฟอร์มต่างๆ
  • ควรเก็บรักษารหัสผ่านของตนเองเป็นความลับ และทำการเปลี่ยนรหัสผ่านเป็นระยะๆ รวมทั้งไม่ควรแอบดูหรือถอดรหัสผ่านของผู้อื่น
  • ควรวางแผนการใช้งานล่วงหน้าก่อนการเชื่อมต่อกับเครือข่ายเพื่อเป็นการประหยัดเวลา
  • เลือกถ่ายโอนเฉพาะข้อมูลและโปรแกรมต่างๆ เท่าที่จำเป็นต่อการใช้งานจริง
  • ก่อนเข้าใช้บริการต่างๆ ควรศึกษากฏ ระเบียบ ข้อกำหนด รวมทั้งธรรมเนียมปฏิบัติของแต่ละเครือข่ายที่ต้องการติอต่อ
ด้านการใช้ข้อมูลบนเครือข่าย ประกอบด้วย
  • เลือกใช้ข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ มีแหล่งที่มาของผู้เผยแพร่ และที่ติดต่อ
  • เมื่อนำข้อมูลจากเครือข่ายมาใช้ ควรอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น และไม่ควรแอบอ้างผลงานของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง
  • ไม่ควรนำข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต
ด้านการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้ใช้ ประกอบด้วย
  • ใช้ภาษาที่สุภาพในการติดต่อสื่อสาร และใช้คำให้ถูกความหมาย เขียนถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
  • ใช้ข้อความที่สั้น กะทัดรัดเข้าใจง่าย
  • ไม่ควรนำความลับ หรือเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นมาเป็นหัวข้อในการสนทนา รวมทั้งไม่ใส่ร้ายหรือทำให้บุคคลอื่นเสียหาย
  • หลีกเลี่ยงการใช้ภาษาที่ดูถูก เหยียดหยามศาสนา วัฒนธรรมและความเชื่อของผู้อื่น
  • ในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นควรสอบถามความสมัครใจของผู้ที่ติดต่อด้วย ก่อนที่จะส่งแฟ้มข้อมูล หรือโปรแกรมที่มีขนาดใหญ่ไปยังผู้ที่เราติดต่อด้วย
  • ไม่ควรส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) ที่ก่อความรำคาญ และความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น เช่น จดหมายลูกโซ่
ด้านระยะเวลาในการใช้บริการ ประกอบด้วย
  • ควรคำนึงถึงระยะเวลาในการติดต่อกับเครือข่าย เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ใช้คนอื่นๆ บ้าง
  • ควรติดต่อกับเครือข่ายเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องการใช้งานจริงเท่านั้น
2. มารยาทของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ในฐานะบุคคลที่ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ลงบนอินเทอร์เน็ต ประกอบด้วย
  • ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล และข่าวสารต่างๆ ก่อนนำไปเผยแพร่บนเครือข่าย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นจริง
  • ควรใช้ภาษาที่สุภาพ และเป็นทางการในการเผยแพร่สิ่งต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต และควรเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
  • ควรเผยแพร่ข้อมูล และข่าวสารที่เป็นประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ ไม่ควรนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ขัดต่อศีลธรรมและจริยธรรมอันดี รวมทั้งข้อมูลที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น
  • ควรบีบอัดภาพหรือข้อมูลขนาดใหญ่ก่อนนำไปเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต เพื่อประหยัดเวลาในการดึงข้อมูลของผู้ใช้
  • ควรระบุแหล่งที่มา วันเดือนปีที่ทำการเผยแพร่ข้อมูล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ของผู้เผยแพร่ รวมทั้งควรมีคำแนะนำ และคำอธิบายการใช้ข้อมูลที่ชัดเจน
  • ควรระบุข้อมูล ข่าวสารที่เผยแพร่ให้ชัดเจนว่าเป็นโฆษณา ข่าวลือ ความจริง หรือความคิดเห็น
  • ไม่ควรเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร รวมทั้งโปรแกรมของผู้อื่นก่อนได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และที่สำคัญคือไม่ควรแก้ไข เปลี่ยนแปลงข้อมูลของผู้อื่นที่เผยแพร่บนเครือข่าย
  • ไม่ควรเผยแพร่โปรแกรมที่นำความเสียหาย เช่น ไวรัสคอมพิวเตอร์เข้าสู่ระบบเครือข่าย และควรตรวจสอบแฟ้มข้อมูล ข่าวสาร หรือโปรแกรมว่าปลอดไวรัส ก่อนเผยแพร่เข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต

สรุปสาระสำคัญ

ความหมายของอินเทอร์เน็ต 
       ระบบเครือข่ายติดต่อสื่อสารข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อเชื่อมโยงถ่านโอนข้อมูลให้แก่กัน
ประวัติความเป็นมาของระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 
        เริ่มต้นจากอาร์พาเน็ตที่ใช้ในกิจการทหารพัฒนามาเป็นการรับ-ส่งอีเมลและค้นหาข้อมูลต่าง ๆ จนถึงเกิดการค้าขายผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ระบบชื่อโดเมนและพื้นฐานการทำงานของระบบอินเทอร์เน็ต
        *ระบบชื่อโดเมนเป็นชื่อที่อยู่ของอินเทอร์เน็ตเซิร์ฟเวอร์
        *พื้นฐานการทำงานของระบบอินเทอร์เน็ต คือ โพรโทคอลซึ่งเป็นระเบียบวิธีการติดต่อที่ต้องเป็นโพโทคอลเดียวกันจึงจะรับ-ส่งข้อมูลได้
การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
        ทำได้ 2 วิธีได้แก่ การเชื่อมต่อแบบใช้สายสัญญารและการเชื่อมต่อแบบไร้สาย
บริการต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ต
        1.บริการด้านสื่อสาร ได้แก่ อีเมล รายชื่อกลุ่มสนทนา กระดานข่าว การสนทนาผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เทลเน็ตและบริการโทรศัพท์จากคอมพิวเตอร์ไปยังเครื่องรับโทรศัพท์
        2.บริการด้านข้อมูล ได้แก่ การโอนย้ายข้อมูล เวิลด์ไวด์เว็บ การค้นหาข้อมูล
ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ต
        ต้องมีจรรยาบรรณในการใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์และการสนทนาผ่านเครือข่าย และการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์

        
แหล่งข้อมูล
 1. http://www.google.co.th/url?sa=t&rct=j&q=&esrc=s&source=web&cd=4&ved=0CC8QFjAD&url=http%3A%2F%2Fwww.mbk.ac.th%2Fvee%2FSlide%2FUnit1.ppt&ei=63ebVczrE5Lj8AWv3b2gCw&usg=AFQjCNFjYDC7gopPi8dWnXOwfPcN7Ol6fA&sig2=sD7W_m0AJpwxTR1zY5CO2Q
2. http://www.baanjomyut.com/library_3/extension-2/ict/04.html
3. http://phutthawan.blogspot.com/
4.http://www.trueplookpanya.com/new/cms_detail/knowledge/3058-00/
5.https://mimmira.wordpress.com/2013/08/05/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89/
หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ม.6


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น